ส่วนแกนเป็นส่วนที่นำสัญญาณข้อมูล
ส่วนชั้นใยข่ายเป็นชั้นที่ใช้ป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอกและเป็นสายดิน
ในตัว ดังนั้นสองส่วนนี้ต้องไม่เชื่อมต่อกันมิฉะนั้นอาจเกิดไฟช็อตได้
ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่โคแอ็กซ์จะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ก็
สามารถแบ่งสายโคแอ็กซ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สายโคแอ็กซ์แบบบาง (Thin Coaxial Cable) สายโคแอ็กซ์แบบบาง (Thin Coaxial Cable หรือ Thinnet Cable) เป็น
สายที่มีขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.64 cm
เนื่องจากสายประเภทนี้มีขนาดเล็กและมีความยืดหยุ่นสูงจึงสามารถใช้ได้
กับการติดตั้งเครือข่ายเกือบทุกประเภท
สายประเภทนี้สามารถนำสัญญาณได้ไกลถึง 185 เมตร
ก่อนที่สัญญาณจะเริ่มอ่อนกำลัง ลง
บริษัทผู้ผลิตสายโคแอ็กซ์ได้ลงความเห็นร่วมกันในการแบ่งประเภทของสายโคแอ็ก
ซ์ สายโคแอ็กซ์แบบบางได้ถูกรวมไว้ใน สายประเภท RG-58
ซึ่งสายประเภทนี้จะมีความต้านทาน (Impedance) ที่ 50 โอห์ม
สายประเภทนี้จะมีแกนกลางอยู่ 2 ลักษณะคือ
แบบที่เป็นสายทองแดงเส้นเดียวและแบบที่เป็นใยโลหะหลายเส้น
2. สายโคแอ็กซ์แบบหนา (Thick Coaxial Cable)
สายโคแอ็กซ์แบบหนา (Thicknet Cable) เป็นสายโคแอ็กซ์ที่ค่อนข้าง แข็ง
และขนาดใหญ่กว่าสายโคแอ็กซ์แบบบาง โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.27 cm
สายโคแอ็กซ์แบบหนานี้เป็นสาย
สัญญาณประเภทแรกที่ใช้กับเครือข่ายแบบอีเธอร์เน็ต
ส่วนแกนกลางที่เป็นสายทองแดงของสายโคแอ็กซ์แบบหนาจะมีขนาดใหญ่กว่า
ดังนั้นสายโคแอ็กซ์แบบหนานี้จึงสามารถนำ สัญญาณ ได้ไกลกว่าแบบบาง
โดยสามารถนำสัญญาณได้ไกลถึง 500 เมตร
ด้วยความสามารถนี้สายโคแอ็กซ์แบบหนาจึงนิยมใช้
ในการเชื่อมต่อเส้นทางหลักของข้อมูล หรือ แบ็คโบน (Backbone)
ของเครือข่ายสมัยแรก ๆ แต่ปัจจุบันได้เลิกใช้สายโคแอ็กซ์
แล้ว โดยสายที่นิยมใช้ทำเป็นแบ็คโบน คือ สายใยแก้วนำแสง ซึ่งจะได้กล่าวในรายละเอียดในส่วนต่อไป
หัวเชื่อมต่อที่ใช้กับสายโคแอ็กเชียล
ทั้งสายแบบบางและแบบหนา
จะใช้หัวเชื่อมต่อชนิดเดียวกัน ที่เรียกว่าหัว BNC
ซึ่งใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างสายสัญ ญาณและเน็ตเวิร์คการ์ด
หัวเชื่อมต่อแบบ BNC นี้มีหลายแบบได้แก่ หัวเชื่อมสาย BNC
หัวเชื่อมสายรูปตัว T หัวเชื่อมสายแบบ Barrel และตัวสิ้นสุดสัญญาณ
สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pair Wire)
เป็นสายชนิดที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการนำมาใช้งานตามห้องปฏิบัติการ
คอมพิวเตอร์ทั่วไป รวมทั้งตามสำนักงานต่างๆ
สายชนิดนี้ได้ชื่อมาจากลักษณะองค์ประกอบภายในของสาย
ที่เป็นสายลวดทองแดงสองเส้นนำมาพันเกลียวเข้าด้วยกันเพื่อทำให้เกิดเป็นสนาม
แม่เหล็ก
ซึ่งใช้เป็นเสมือนเกราะสำหรับป้องกันสัญญาณรบกวนทั่วไปได้ในตัวเอง
จำนวนรอบหรือความถี่
ในการพันเกลียว เช่น พันเกลียว 10 รอบต่อความยาว 1 ฟุต
นั้นมีผลโดยตรงต่อกำลังของสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้น
ถ้าจำนวนรอบสูงก็จะทำให้สนามแม่เหล็กมีกำลังแรงขึ้น สามารถป้องกัน
สัญญาณรบกวนได้ดีขึ้น
แต่ก็ทำให้สิ้นเปลืองสายมากขึ้น แต่ถ้าจำนวนรอบต่ำ
ก็จะเกิดสนามแม่เหล็กกำลังอ่อน
ซึ่งป้องกันสัญญาณรบกวนได้น้อยลงก็ใช้สายเปลืองน้อยลงเช่นกัน
โดยทั่วไปแล้วสายชนิดนี้จึงมีคุณสมบัติในการป้องกันสัญญาณรบกวนได้ดีกว่าสาย
ที่ไม่มีการ พันเกลียวเลยบริเวณแกน (Core) ของสายคู่บิดเกลียว
สายคู่บิดเกลียว
ประกอบด้วยสายทองแดงจำนวนหนึ่ง หรือหลายคู่สาย ห่อหุ้มสายด้วยฉนวนบางๆ
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการลัดวงจร แล้วนำมาพันเกลียวเข้าด้วยกันเป็นคู่
ทุกคู่จะถูกห่อหุ้มฉนวนอีกชั้นหนึ่งรวมกันเป็นสายขนาดใหญ่เพียงสายเดียว
สายคู่บิดเกลียวแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ
- แบบไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP : Unshielded Twisted Pair)
- แบบมีฉนวนหุ้ม (STP : Shielded Twisted Pair)
สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP : Unshielded Twisted Pair)
สาย UTP เป็นสายที่พบเห็นกันมาก
มักจะใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ไปยังอุปกรณ์สื่อสารตามมาตรฐานที่กำหนด
สำหรับสายประเภทนี้จะมีความยาวของสายในการเชื่อมต่อได้ไม่เกิน 100 เมตร
และสาย UTP มีจำนวนสายบิดเกลียวภายใน 4 คู่
คู่สายในสายคู่ตีเกลียวไม่หุ้มฉนวนคล้ายสายโทรศัพท์
มีหลายเส้นซึ่งแต่ละเส้นก็จะมีสีแตกต่างกัน
และตลอดทั้งสายนั้นจะถูกหุ้มด้วยพลาสติก
(Plastic Cover) ปัจจุบันเป็นสายที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
เนื่องจากราคาถูกและติดตั้งได้ง่าย แสดงดังรูป
รูปแสดงสายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP : Unshielded Twisted Pair)
สายไฟเบอร์ออฟติค(Fiber Optic)
Fiber Optic คือ
สายสัญญาณของระบบเครือข่ายอีกชนิดหนึ่ง
ที่มีความสามารถในการรับ-ส่งสัญญาณได้ไกลๆ เป็นกิโลเมตร
และมีการสูญเสียของสัญญาณน้อยมาก เมื่อเทียบกับสายแลนทั่วๆ ไป (CAT5,
CAT5e, CAT6, CAT7 เป็นต้น)?Fiber Optic เรียกเป็นภาษาไทยว่า
"เส้นใยแก้วนำแสง"
คุณสมบัติของ Fiber Optic?
- Fiber Optic ภายในทำจากแก้วที่มีความบริสุทธิ์สูงมาก
- มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดเท่าเส้นผมของคนเรา
- รับส่งสัญญาณได้ระยะไกลมากเป็นกิโลเมตร
- ต้องใช้ผู้ชำนาญ และเครื่องมือเฉพาะในการเข้าหัวสัญญาณ
- ราคาแพงหลายเท่า เมื่อเทียบกับสายแลนประเภท CAT5
Fiber Optic แบ่งออกได้ 2 ประเภท
- เส้นใยแก้วนำแสงชนิดโหมดเดี่ยว (Singlemode Optical Fibers, SM)
- เส้นใยแก้วนำแสงชนิดหลายโหมด (Multimode Optical Fibers, MM)
การนำไปใช้งานของ Fiber Optic
- ตึกสูงๆ ที่ต้องการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย ทำเป็น Backbone (สายรับส่งสัญญาณข้อมูลหลัก)
- ระบบการรับส่งสัญญาณภาพ วีดีโอ ตามพื้นที่ต่างๆ
- การเชื่อมต่อสัญญาณระยะไกล
- และอื่นๆ อีกมากมาย
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น